ความโหดของผู้เขียนคือ สามารถอ่านหนังสือได้ถึงเดือนละ 20-30 เล่ม นอกจากรับเข้าข้อมูลเยอะแล้ว ยังส่งออกผลงานเยอะด้วย ทั้งโพสต์ข้อความบน facebook ลงคลิปวีดีโอยาวกว่า 3 นาทีใน youtube เขียนจดหมายข่าวให้ผู้ติดตามทางอีเมล
ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตไม่ต่างอะไรกับอาหารชิมฟรีในห้าง การชิมฟรีไม่ช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้อง ไม่ช่วยให้รู้สึกเต็มอิ่มอย่างแท้จริง การที่เราอ่านหนังสือพิมพ์/วารสาร ดูทีวี หรืออ่านข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เราเรียกมันว่า “ข้อมูล” ในทางกลับกัน หนังสือที่เราซื้อมาเมื่อ 10 ปีก่อน ลองอ่านดูจะพบว่ามีหลายเล่มที่อ่านแล้วรู้สึกว่าเนื้อหายังไม่ล้าสมัยเลย อันนี้เรียกว่า “ความรู้” เป็นความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แหล่งรวบรวมความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ที่หาได้ง่ายที่สุดก็คือ หนังสือ "การรับทั้ง ข้อมูล และ ความรู้ ประกอบกันอย่างสมดุล จึงเป็นวิธีพัฒนาตัวเองที่ดีที่สุด"
“การอ่านหนังสือ คือการซื้อประสบการณ์” เวลาที่อยากเริ่มต้นทำอะไรใหม่เราไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการลองผิดลองถูกด้วยตัวเองเสมอไป การอ่านหนังสือคือการอ่านประสบการณ์หลายร้อยชั่วโมงของคนที่ลองผิดลองถูกมาก่อน และสรุปผลให้เราเรียบร้อยแล้ว เวลาเป็นสิ่งมีค่า เมื่อมีเวลาก็จะมีความสุข
"คนเก่งมักจะเป็นคนที่พร้อมอยู่เสมอ" พวกเขาพร้อมคว้าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาอยู่ตลอดเวลา การอ่านหนังสือเป็นทางลัดไปสู่ความรู้ ซึ่งจะช่วยให้เราพร้อมในทุกสถานการณ์ ยิ่งอ่านหนังสือมากก็จะยิ่งมีความพร้อมและทักษะมากขึ้น ส่วนต่างที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้ทิ้งห่างคู่แข่งไม่ว่าจะในด้านความรู้และข้อมูลที่รับเข้าไป ผลงานที่ส่งออกหรือความรวดเร็วในการพัฒนาตัวเอง
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างคนที่อ่านหนังสือกับคนที่ไม่อย่างหนังสือคือ “ทักษะด้านภาษา” การอ่านและเขียนให้มาก เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้เก่งเรื่องภาษาได้ ซึ่งทักษะด้านภาษานี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในยุคอินเตอร์เน็ต
นอกจากการอ่านหนังสือช่วยพัฒนาทักษะการทำงานแล้วยังช่วยขจัดความเครียดและความกังวลได้อีกด้วย โดยธรรมชาติแล้วเวลาเจอวิกฤตหรือความเครียด มนุษย์จะมีมุมมองที่แคบลง ทำให้เอาแต่คิดถึงแต่เรื่องตรงหน้า จนนึกวิธีแก้ปัญหาที่ต่างออกไปจากเดิมไม่ออก และหลงลืมไปว่า การอ่านหนังสือสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ "แค่เรารู้วิธีจัดการหรือวิธีแก้ปัญหา และคิดว่าน่าจะผ่านมันไปได้ ความเครียดก็จะลดลงจนสัมผัสได้"
การอ่านหนังสือ ไม่เพียงช่วยให้เรารู้มากเท่านั้น แต่ยังทำให้สติปัญญาดีขึ้น ไหวพริบเฉียบคมขึ้น เป็นการกระตุ้นสมองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย สมองของมนุษย์มีการพัฒนาตลอดชีวิต เราสามารถฝึกให้สมองเราฉลาดขึ้นได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสติปัญญาอารมณ์ สังคม
ยิ่งมีตัวเลือกมาก ก็ยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จมาก การอ่านหนังสือเป็นประตูสู่เงินและความสำเร็จ ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งมีรายได้มาก ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ชอบอ่านหนังสือ การนำประสบการณ์ของคนอื่นมาใช้เป็นแนวทาง จะช่วยประหยัดเวลาทั้งยังเป็นทางลัดสู่ความสำเร็จอีกด้วย
หากคุณไม่สามารถอธิบายเนื้อหาของหนังสือที่เพิ่งอ่านจบไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้คนอื่นฟังได้ คุณจะไม่มีทางมีพัฒนาการได้เลย จงสนุก ตื่นเต้นกับการอ่านหนังสือ เมื่อโดปามีนซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความจำถูกหลั่งออกมา จะทำให้เราจำเนื้อหาที่อ่านไปได้ดีขึ้น
กฎ 3 ข้อที่ช่วยให้จำเนื้อหาของหนังสือได้ไม่ลืม
1.เมื่อรับข้อมูลเข้าสู่สมองแล้ว ต้องทำการส่งข้อมูลออกให้ได้ 3-4 ครั้งภายใน 7-10 วัน วิธีการส่งข้อมูลออก: อ่านหนังสือพร้อมกับจดโน๊ตหรือใช้ปากกาเน้นข้อความส่วนที่สำคัญไปด้วย เล่าเนื้อหาในหนังสือให้คนอื่นฟังหรือแนะนำหนังสือให้คนอื่นอ่าน เขียนแบ่งปันความรู้สึก สิ่งที่ฉุกคิดหรือคำคมจากหนังสือลงบน social media เขียนบทวิจารณ์หนังสือลงบน facebook หรืออีเมลจดหมายข่าว
2. อ่านในขณะว่างช่วงสั้นๆ การเล่นสมาร์ทโฟนบนรถไฟ เป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ยิ่งอ่านหนังสือได้มากก็ยิ่งแสดงว่าบริหารเวลาเก่ง ตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง เช่น วันนี้จะอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบ เป็นการจำกัดเวลาและสร้างความกดดันให้ตัวเอง ทำให้เรามีสมาธิมากขึ้น ทั้งยังเป็นการกระตุ้นสารสื่อประสาทที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความจำให้หลั่งออกมา สมองของเราจะจำเนื้อหาที่อ่านได้ดีขึ้นกว่าเดิม
3. ทำความเข้าใจเนื้อหา อ่านให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งจนสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือได้ ถ้าจำเนื้อหาไม่ได้ถึงอ่านเร็วแค่ไหนก็ไม่มีความหมาย เราควรให้ความสำคัญกับคุณภาพในการอ่านมากกว่าปริมาณในการอ่าน หัดอ่านตีความให้ได้ก่อนแล้วค่อยอ่านเร็ว
การอ่านหนังสือก่อนนอนช่วยผ่อนคลายความอ่อนล้าของทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงช่วยให้หลับง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยจำได้ไม่ลืมมากขึ้น
สแกนหาเป้าหมายของการอ่าน มองภาพรวมของหนังสือให้ออก แล้วค่อยกำหนดเป้าหมายและวิธีการอ่าน
เปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาส่วนที่อยากรู้ก่อนไม่จำเป็นต้องอ่านทุกตัวอักษร
อ่านหนังสือที่ยากกำลังดี จะช่วยให้เรียนรู้ได้มากที่สุด
ถ้ารู้สึกตื่นเต้นเวลาอ่าน ต่อให้ผ่านไป 30 ปีก็ยังจำได้ไม่ลืม
ถ้ารู้สึกว่าน่าสนุกก็ควรอ่านให้จบในรวดเดียว
การไปพบนักเขียนจะทำให้เข้าใจเนื้อหาในหนังสือได้ดีขึ้น
ถ้ารู้ว่าควรเลือกหนังสืออย่างไร เราจะได้หนังสือที่ตอบโจทย์ชีวิตเรา การได้พบกับหนังสือที่ตอบโจทย์ คือทางลัดที่ทำให้เราเก่งขึ้นได้เร็วที่สุด การอ่านหนังสือให้ได้มากไม่ช่วยให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเสมอไป แม้ว่าการอ่านหนังสือให้ได้มากจะถือเป็นหนึ่งในวิธีเพิ่มโอกาสการเจอหนังสือที่ตอบโจทย์ แต่เราสามารถ
- เลือกหนังสือที่เหมาะกับระดับความรู้ของตัวเองในขณะนี้ได้
- เริ่มจากการอ่านคู่มือเบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจข้อมูลพื้นฐานและภาพรวมทั้งหมดก่อน
- ลองอ่านหนังสือที่คนที่เราชื่นชมเขียนหรือแนะนำให้อ่าน
- อาศัยคำแนะนำของเพื่อนบนฟีดข่าวเฟสบุ๊ค
- พึ่งคำแนะนำของคนที่ยอมลงทุนกับหนังสือ 15,000 เยนต่อเดือน
- พึ่งความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
- พึ่งอีเมลจดหมายข่าว ที่ช่วยสรุปเนื้อหาของหนังสือธุรกิจให้อ่านแบบฟรีๆ
"ทุกครั้งที่เลือกหนังสือ ให้เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ถมตัวเองก่อนว่า อยากอ่านหนังสือเล่มนั้นจริงๆ หรือเพราะว่ามันเป็นหนังสือขายดี"
ถ้าอยากได้หนังสือเฉพาะทางให้ไปร้านหนังสือใหญ่ๆ เวลาเลือกซื้อหนังสือในอินเตอร์เน็ต ให้ดูความเห็นของผู้ซื้อคนอื่นหรือหนังสือที่เว็บไซต์แนะนำ สมองมนุษย์ชอบจำอะไรเป็นก้อนๆ การอ่านหนังสือแนวเดียวกัน ทำให้สมองจดจำเนื้อหาในหนังสือได้ดีกว่าการอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาไม่เหมือนกันเลยพร้อมกัน หลัก 4 ข้อที่ช่วยให้เลือกหนังสือได้ไม่พลาด
1. อ่านให้รู้กว้างและรู้ลึก อย่างสมดุลกัน
2. เสริมจุดเด่น แล้วค่อยลบจุดด้อย
3. เปิดรับข้อมูลและความรู้ในปริมาณที่สมดุล
4. เลือกอ่านหนังสือให้หลากหลาย
การอ่าน ebook ช่วยให้อ่านได้มากขึ้นถึง 2 เท่า ข้อดีของมันคือพกพาสะดวก ง่ายต่อการจัดเก็บ ราคาถูกกว่า ทำให้ซื้อหนังสือได้เยอะขึ้น ประหยัดเวลาเพราะซื้อแล้วอ่านได้ทันที อ่านซ้ำได้ทุกเมื่อ ทบทวนได้ง่ายโดยใช้ฟังก์ชันเน้นข้อความ อ่านที่ไหนก็สะดวก ดีต่อสายตาของผู้สูงอายุ ข้อเสียคือไม่สามารถเปิดดูแบบผ่านๆ ได้
อ่านทั้งแบบเล่ม และแบบ ebook เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด //พออ่านบทนี้จบแล้วอยากได้ kindle ขึ้นมาทันที// ความรู้เป็นสมบัติล้ำค่า การสะสมความรู้จากหนังสือจะส่งผลให้ชีวิตมั่งคั่ง
- ตั้งงบซื้อหนังสือต่อ 1 ปี แล้วเราจะซื้อหนังสือที่อยากอ่านได้โดยไม่ลังเล
- เราไม่ควรตั้งความหวังว่าหนังสือทุกเล่มที่ซื้อจะคุ้มราคาเสมอไป
- เมื่อต้องตัดสินใจซื้อหนังสือให้ทำภายใน 1 นาที
หนังสือแบ่งออกได้ 3 ประเภท
1. หนังสือที่เกี่ยวข้องกับงาน เมื่ออ่านจบไปแล้ว ก็อาจต้องนำกลับมาอ่านใหม่
2. หนังสือที่ควรอ่าน 2 ครั้งขึ้นไป เป็นประเภทที่ต้องตีความ อ่านซ้ำหลายครั้งถึงจะเข้าใจในรายละเอียดปลีกย่อย หรือต้องเว้นระยะเวลาในการอ่านพอสมควร ถึงจะค้นพบอะไรใหม่ๆ
3. หนังสือที่อ่านครั้งเดียวได้ เป็นหนังสือที่สามารถอ่านผ่านๆ และอ่านให้จบได้ภายในเวลาครึ่งชั่วโมงถึง 1 ชั่วโมง หรือเป็นหนังสือที่อ่านแค่ครั้งเดียวก็จับประเด็นสำคัญได้แล้ว
หนังสือเป็นของขวัญที่ผู้รับมักรู้สึกดีใจอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นหนังสือที่ตอบโจทย์ ผู้รับจะยิ่งรู้สึกยินดีชนิดที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว ในบทสุดท้ายของเล่ม ผู้เขียนได้แนะนำหนังสือจำนวน 31 เล่มให้ลองไปอ่านดู
ชีวิตของเรา มีความเป็นไปได้มากมายนับไม่ถ้วน หนังสือเป็นแหล่งรวบรวมภูมิปัญญา ที่มีอายุกว่า 2 พันปี คนเราทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองได้เพียงแต่ต้องรู้วิธีการ และหนังสือก็คือสิ่งที่จะช่วยสอนวิธีการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ได้ เมื่อเราอ่านหนังสือจนเป็นนิสัย พร้อมทั้งนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ จะช่วยเร่งให้เรามีพัฒนาการเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า การอ่านหนังสือเปรียบเสมือนอาวุธทางปัญญาที่แข็งแกร่งที่สุด ที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ หากเราอ่านหนังสือจนติดเป็นนิสัย ก็จะมีความสามารถในการแก้ปัญหามากขึ้น
หนังสือ "เทคนิคอ่านให้ไม่ลืม ที่จิตแพทย์อยากบอกคุณ"
สำนักพิมพ์ สำนักพิมพ์วีเลิร์น
ผู้เขียน คะบะซะวะ ชิอง
สรุปเนื้อหา //Admin ทราย
#สิกขาไร